top of page

🚀UPเกรด เท่าทัน Data,AI

ติดตามบทเรียนใหม่ทุกวัน ที่ทดลองทำได้ทันที

ให้การทำงานดีขึ้นได้ทุกวัน!

ชวนเพื่อนมาเรียนด้วยกันนะ!

Writer's pictureUltimate Python

พื้นฐาน object ใน Python

Updated: Aug 15, 2021

โครงสร้างแบบ object ส่งผลต่อวิธีเขียน เรียนรู้ concept สำคัญวันนี้กับ Ultimate Python


ประเภทข้อมูล: object

ใน Python ข้อมูลจะถูกเรียกว่า object และมีการแบ่ง object ออกเป็นประเภทต่างๆ ที่มีการใช้งานแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละ object จะมีการใช้สัญลักษณ์ต่างกัน object ใน Jupyter Notebook แต่ละประเภท สามารถแบ่งประเภทด้วยตาได้จากทั้งสัญลักษณ์ สี และขนาดตัวอักษร

object = กล่องเก็บข้อมูล

ในการทำงานกับข้อมูลต่างๆ ใน Python ข้อมูลจะถูกจัดเก็บในรูปแบบของ Object ซึ่งมีลักษณะ ความเหมาะสมกับข้อมูลแต่ละแบบต่างกัน ในการทำงานกับ Python ทุกข้อมูลจะอยู่ใน Object จึงต้องเลือกประเภทให้เหมาะกับการใช้งาน


ข้อมูลตัวอักษร: string

ข้อมูลตัวอักษร และข้อความเป็นข้อมูลที่พื้นฐาน และสำคัญมากที่สุดประเภทหนึ่ง ซึ่งตัวอักษรในที่นี้อาจมองได้ว่าเป็นตัวแทนของการกด keyboard 1 ครั้ง ดังนั้นรวมถึง การเว้นว่างและเครื่องหมายพิเศษเกือบทั้งหมด

string

ข้อมูลตัวอักษร เก็บข้อมูลผ่าน object ประเภท string หรือ string object จะเป็นการเก็บข้อมูลตัวอักษรต่างๆ รวมไปถึงตัวอักษรพิเศษ และ space bar และตำแหน่งของตัวอักษรเหล่านั้นที่อยู่ใน string object

การสร้าง string

ใช้สัญลักษณ์ '' หรือ "" เพื่อระบุการสร้าง และจัดเก็บข้อมูลตัวอักษรต่างๆ เป็น string object เมื่อ run คำสั่งสร้าง string จะได้ output เป็น string object

และการระบุข้อมูลที่ต้องการเก็บไว้ใน string สามารถเขียนคำที่ต้องการไว้ในระหว่าง ' ' เพื่อระบุข้อมูลลงไปใน string ที่ต้องการได้เลย การสร้าง string ที่เก็บคำว่า hello world สามารถเขียนได้ในลักณะต่อไปนี้


In [1]:
'hello world'
Out[1]:
'hello world'

ข้อมูลที่เก็บไว้ใน string

สำหรับข้อมูลตัวอักษรใน string ใดๆ จะมีการเก็บข้อมูลตัวอักษรตามลำดับการเรียงของตัวอักษรโดยเริ่มต้นตำแหน่งแรกที่ 0 และเพิ่มลำดับขึ้นไปจนถึงตัวอักษรสุดท้าย

การดึงข้อมูลจาก string

ใน string ข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ หรือตัวอักษรที่ถูกเก็บอยู่ สามารถดึงออกมาได้โดยการเรียกถึงตำแหน่งของข้อมูลที่อยู่ในความสนใจ โดยใช้ [ ] และระบุตำแหน่งของข้อมูลที่ต้องการลงไป เช่น การดึงตัวอักษรแรกจาก string เขียนได้ในลักษณะต่อไปนี้


In [2]:
'hello world'[0]
Out[2]:
'h'



ข้อมูลประเภทตัวเลข: integer, float

ข้อมูลตัวเลขมีลักษณะที่สำคัญที่สุดที่ข้อมูลประเภทอื่นๆ ไม่มี นั่น คือ ค่าทางคณิตศาสตร์ ซึ่งตัวเลขที่เห็นนั้นสามารถเป็น object ได้หลายประเภท แต่หากต้องการเก็บค่าทางคณิตศาสตร์เอาไว้อาจเลือกใช้ข้อมูล 2 ประเภทนี้เพื่อใช้เก็บตัวเลขนั้นๆ

เลขจำนวนเต็ม: integer

การใช้งาน object ประเภท integer สามารถทำได้โดยการเรียกใช้ตัวเลขใดๆ ที่เป็นจำนวนเต็ม Python จะระบุเลขตัวนั้นเป็น integer ทันที อย่างเช่น หากต้องการสร้าง integer ที่มีค่าทางคณิตศาสตร์เป็นเลข 420


In [3]:
420
Out[3]:
420


เลขทศนิยม: float

สำหรับการเก็บเลขทศนิยมจะถูกเก็บไว้ใน object ประเภท float ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติหากเราพิมพ์เลขทศนิยม อย่างเช่นการสร้าง float ที่มีค่าทางคณิตศาสตร์ 6.9

integer มีค่าทางคณิตศาสตร์เท่ากับ float สามารถทำงานข้ามกันได้ ซึ่งข้อสังเกตที่จะช่วยแยกข้อมูลนี้ออกจากกันอาจจะสังเกตได้เบื้องต้นจากสัญลักษณ์ . ที่มีอยู่ใน float และไม่มีใน integer


In [4]:
6.9
Out[4]:
6.9



ค่าความจริง: boolean

สำหรับข้อมูลประเภทนี้เราอาจไม่เจอตัวเป็นๆ ในโลกความจริง แต่ตัวมัน และการใช้งานถูกฝังเอาไว้ในชีวิตประจำวันของเราแบบขาดไม่ได้ ซึ่งค่าความจริงเป็นข้อมูลที่ใช้ร่วมกับการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เช่นเดียวกันทั้งในโลกความจริง และการเขียน Python

เช่น สมมติเราทำงานวางแผนกลยุทธ์ เงื่อนไขที่ต้องเจออาจจะเป็น ถ้าบริษัททำกำไรได้จะทำแผนขยายกิจการ แต่ถ้าบริษัทขาดทุนจะทำแผนลดค่าใช้จ่าย ในการที่เราตรวจสอบเงื่อนไข แต่ละเงื่อนไขที่เกิดขึ้นจะมีข้อมูลที่เกิดขึ้นได้ 2 กรณีสำหรับแต่ละเงื่อนไข นั่นคือ เงื่อนไขเป็นจริง และเงื่อนไขไม่เป็นจริง และข้อมูลนี้เองที่เป็นข้อมูลค่าความจริง

เช่นเดียวกัน ในการเขียน Python ความจริงมีเพียง 2 ค่าเท่านั้นที่เราจะใช้งานคือ True, False ที่เป็นตัวแทนของเงื่อนไขที่เป็นจริง และเงื่อนไขที่ไม่เป็นจริงตามลำดับ

ค่าจริง: True



In [5]:
True
Out[5]:
True


ค่าเท็จ: False



In [6]:
False
Out[6]:
False



Tuple

ใน object ประเภทต่างๆ ของ object นอกจากจะมี object ที่ใช้เก็บข้อมูลต่างๆ แล้ว ยังมี object หลายประเภท ที่ใช้เก็บ object ไว้ในโครงสร้างอีกที ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น Data Structure

ซึ่ง Tuple เป็นหนึ่งใน object ที่ใช้เก็บหลายๆ object ไว้ด้วยกัน เพื่อให้เราสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง Tuple จะใช้สัญลักษณ์ ( ) ในการสร้าง และสามารถใส่ object เข้าไประหว่าง ( ) เพื่อกำหนดให้เป็นข้อมูลใน tuple นั้นๆ โดยการใช้ , แยกแต่ละ object ออกจากกัน

เช่น Tuple ที่มีการเก็บ String ที่มีข้อความ hello world , integer ที่เป็นเลข 420, และ float ที่เป็นเลข 6.9 เขียนได้ในลักษณะดังนี้



In [7]:
('hello world',420,6.9)
Out[7]:
('hello world', 420, 6.9)


การดึงข้อมูลจาก Tuple

ซึ่งการเก็บข้อมูลของ Tuple นั้นทำการเก็บ object ต่างๆ โดยเรียงตามลำดับที่ปรากฎใน Tuple ซึ่งข้อมูลที่เก็บอยู่ใน Tuple จะไม่สามารถแก้ไขได้ นอกจากนี้ Tuple ยังเป็นชุดข้อมูลพื้นฐานที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติด้วยคำสั่งภาษา Python ที่พบได้มากที่สุด

หากต้องการดึง object ที่อยู่ด้านใน Tuple สามารถทำได้โดยการใช้สัญลักษณ์ [ ] ร่วมกับตำแหน่งของข้อมูลที่ต้องการ เพื่อดึงข้อมูลออกมา เช่น ทำการดึงข้อมูลตำแหน่งแรกออกมาจาก Tuple ที่สร้างขึ้นด้วยข้อมูลเดียวกันก่อนหน้านี้


In [8]:
('hello world',420,6.9)[0]
Out[8]:
'hello world'



ข้อมูลรายการ: List

list เป็นอีกชุดข้อมูลที่ใช้เก็บ object หลายๆตัวไว้ในที่เดียวทำให้สามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง list เป็นการจัดเก็บข้อมูลหลายตัวไว้ในโครงสร้างที่มีการจัดเรียงตามลำดับที่ปรากฎใน list

list สร้างโดยการใช้สัญลักษณ์ [ ] และสามารถใส่ object ระหว่าง [ ] เพื่อใส่เข้าไปใน list และใช้ , เพื่อแบ่งแต่ละ object ออกจากกัน เช่นการนำข้อมูลชุดเดิมมาใส่ใน list สามารถเขียนได้ในลักษณะนี้


In [9]:
['hello world',420,6.9]
Out[9]:
['hello world', 420, 6.9]

การดึงข้อมูลจาก List

การจัดเก็บข้อมูลเข้าไปใน List สามารถเพิ่มเติมข้อมูล ลบข้อมูล แก้ไขข้อมูลใน List ได้ ทำให้ List เป็นชุดข้อมูลที่สามารถใช้งานได้ง่ายและหลากหลายมากที่สุดโครงสร้างหนึ่ง

หากต้องการดึง object ที่อยู่ด้านใน list สามารถทำได้โดยการใช้สัญลักษณ์ [ ] ร่วมกับตำแหน่งของข้อมูลที่ต้องการ เพื่อดึงข้อมูลออกมา เช่น ทำการดึงข้อมูลตำแหน่งแรกออกมาจาก list ที่สร้างขึ้นด้วยข้อมูลเดียวกันก่อนหน้านี้


In [10]:
['hello world',420,6.9][0]
Out[10]:
'hello world'


พจนานุกรม: Dictionary

Dictionary เป็นโครงสร้างข้อมูลอีกประเภทที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ต้องติดตั้งเครื่องมือเพิ่มเติมเพราะ Dictionary เป็นโครงสร้างที่มาพร้อมกับตัว Python เลย

Dictionary หรือถ้าแปลตรงตัวคือ พจนานุกรม เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ทำการเก็บข้อมูลโดยอาศัยการกำหนดหมวดหมู่ เช่นเดียวกับในพจนานุกรมที่คำศัพท์ต่างๆ ถูกจัดเก็บเป็นหมวดหมู่แบ่งตามตัวอักษร Dictionary ก็ใช้การกำหนดหมวดหมู่เพื่อจัดเก็บข้อมูลต่างๆ เช่นเดียวกัน

สำหรับใน Dictionary หมวดหมู่จะถูกเรียกว่า key และข้อมูลที่เก็บเอาไว้ในแต่ละหมวดหมู่จะเรียกว่า value สำหรับการสร้างหมวดหมู่ หรือ key A ที่เก็บคำศัพท์ หรือ value เป็น list ที่ประกอบไปด้วยคำว่า And, Ant, Aunt เขียนได้ดังนี้


In [11]:
{'A':['And','Ant','Aunt']}
Out[11]:
{'A': ['And', 'Ant', 'Aunt']}

การดึงข้อมูลจาก Dictionary

การจัดเก็บข้อมูลใน Dictionary สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไขข้อมูลได้ ซึ่งการจัดหมวดหมู่ข้อมูลทำให้เราสามารถสร้างโครงสร้างที่เก็บข้อมูลจำนวนมากได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับการทำงานกับข้อมูลที่อยู่ใน Dictionary เมื่อต้องการทำงานกับข้อมูลใดๆ เราจะใช้ key เพื่อเป็นตัวแทนในการดึงข้อมูลผ่านสัญลักษณ์ [ ] เช่น ดึงข้อมูลที่เก็บอยู่ใน key A ตามข้อมูลที่ถูกสร้างก่อนหน้านี้จะเขียนได้ในลักษณะนี้


In [12]:
{'A':['And','Ant','Aunt']}['A']
Out[12]:
['And', 'Ant', 'Aunt']


ข้อมูลใน Python ที่ต้องรู้ และโครงสร้างแบบ Object


เรียนเรียน Python จาก 0 ฉบับวัยทำงานยุคใหม่

เริ่มไว ใช้ได้ทันที พร้อมการดูแลจากผู้สอนโดยตรง และกลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้

เรียนรู้เกี่ยวกับคอร์สเรียนเพิ่มเติม https://ultimatepython.teachable.com/p/python-automation






1,865 views

Comments


bottom of page